วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ON THE WAY ปี 2564 พระบรมธาตุนาดูน มหาสารคาม


21 สค 2564

ผมไปธุระที่ พยัคฆภูมิพิสัย ถือโอกาสแวะหาเพื่อนเก่า แล้วชวนกันไป ไหว้สักการะ องค์พระธาตุนาดูน พระธาตุคู่บ้านคู่เมือง จ.มหาสารคาม ถือว่าเป็นบุญที่ได้เห็นสักครั้ง ตามจริงเมื่อก่อนวิ่งรถส่งของเส้นนี้ประจำ แต่ไม่เคยได้แวะ วันนี้แปลกเหมือนมีอะไรดลใจ ให้นึกถึงว่าต้องมา กราบไหว้พระธาตุนาดูน ให้ได้ 

พระธาตุนาดูน ตั้งอยู่ที่ บ้านนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม นับเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาคู่บ้านคู่เมืองของ ชาวมหาสารคาม เป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นเพื่อสิริมงคลแก่ภูมิภาค พื้นที่โดยรอบได้ถูกพัฒนาเพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเรียกขานว่าเป็น “พุทธมณฑลอีสาน”


เก็บภาพกันสักหน่อยก่อนเข้าไปชมพระธาตุ


เพื่อนเก่า เพื่อนแก่ นึกถึงสมัยเด็กๆที่เคยเรียนอัสสัมชัญ โคราช มาด้วยกันเพื่อนไม่เคยทิ้งกัน แม้นานๆจะเจอกันที






รูปลักษณะพระธาตุนาดูน จำลองแบบจากสถูปสำริดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ฐานประยุกต์แบบศิลปะทวาราวดี
ฐานกว้าง 35.70 * 35.70 เมตร
มีความสูงจากฐานถึงยอด 50.50 เมตร

พระธาตุนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งของนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆที่ค้นพบ ได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น และที่สำคัญยิ่งก็คือการขุดพบสถูป บรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ ในตลับทองคำ เงิน และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี
ที่ฐานพระบรมธาตุ จะบันไดทั้งสี่ด้าน และมีพระพุทธรูป ประจำทั้งสี่ด้าน ให้กราบสักการะ
ไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปขึ้นไปชั้นบนของพระธาตุ ซึ่งเป็นการดี ไม่งั้นองค์พระธาตุคงเสียหายเลอะเทอะไปหมด
พยายามจะถ่ายส่วนบนสุด
ด้วยกล้องมือถือธรรมดาๆ




ใกล้ๆองค์พระธาตุจะมี รูปแกะสลักจากหินทราย
แม้จะเป็นของใหม่ แต่ก็ดูสวยงาม
และ แกะจากหินก้อนเดียว




ได้เวลากลับ ขอบใจเพื่อน ทูล ที่พามาเที่ยว แถมให้ข้าวสารกลับบ้านด้วย น้ำใจงามจริงๆ

ก่อนเข้าพยัคฆภูมิ จะมีปั๊มน้ำมัน มีมุมเล็กๆในแวะถ่ายรูปกันนิดนึง




จบแล้วครับ เป็นทริปเล็กๆ แต่ในใจไม่เล็กเลย 
อิ่มบุญ อิ่มใจ 
ดีใจได้เจอเพื่อน






























วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ON THE WAY ปี2564 ปราสาทบ้านไพล อ.ปราสาท จ.สุรินทร์

นานๆที จะได้มีโอกาสแวะเที่ยว ห่างหายไปนานจากการเขียน blog เพิ่งจะเริ่มเขียนใหม่ จัดเรื่องสั้นๆมาประเดิมก่อน 
ปราสาทบ้านไพล อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ผมได้ยินชื่อนี้มานาน เคยเห็นในนิตยสารมาก็หลายเล่ม ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นกับตาตัวเอง ผมมาสุรินทร์บ่อย จนกระทั่งวันนี้ 31 พ.ค. 2564 ได้ฤกษ์ตัดสินใจแวะเข้ามาชมตัวปราสาท
ปราสาทบ้านไพล เป็นปราสาทขนาดเล็ก เป็นปราสาทที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาชมเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะระหว่างทางเข้าไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ วันนี้ก็เช่นกัน ผมโชคดีมาก ไม่มีใครเลย มีผมคนเดียวที่แวะเข้ามา ทำให้ผมเดินชมรอบๆได้อย่างสบายใจ
ตามที่ค้นหาข้อมูลมาได้เล็กน้อย ปราสาทบ้านไพล เป็นโบราณสถานศิลปะขอม รูปแบบศิลปะขอมแบบปาปวน สร้างขึ้นเมื่อราวกลางพุทธศตวรรษที่ 16-17 หรือประมาณ 900-1000 ปีมาแล้ว น่าไปชมมั๊ยหล่ะ
รูปแบบจะเป็นปราสาท 3 หลัง ก่อสร้างด้วยอิฐ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน วางตัวในแนวทิศเหนือ - ใต้ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส หันไปทางทิศตะวันออก 
ตัวปราสาทเสียหายไปตามกาลเวลา เหลือเพียง 2 หลังที่ค่อยข้างจะสมบูรณ์ คือ ปราสาทองค์กลาง และ ปราสาทบริวารด้านทิศเหนือ บริเวณปราสาทมีคูน้ำล้อมรอบ เว้นเฉพาะทางเดินเข้าด้านหน้า
ส่วนปราสาทด้านทิศใต้ อยู่ในสภาพที่พังทลายเหลือเพียงอาคารบางส่วน และ หินกรอบประตู 
ภายในตัวปราสาท ไม่มีอะไรให้เห็น นอกจากกองดินที่ไหลมาจากไหนไม่รู้

สภาพอย่างที่เห็น เริ่มมีต้นไม้ขึ้นภายในแล้ว หากปล่อยไว้ให้โต อาจทำให้ตัวปราสาทเสียหายหนักได้
ที่พื้นฐานศิลาแลง จะมีหลุมลักษณะแบบนี้หลายจุด ผมคิดว่าเป็นหลุมที่ใช้ตั้งเสาอะไรสักอย่างในสมัยนั้น อันนี้ผมเดาเองนะ





ภาพด้านหลังองค์ปราสาท จะมีลักษณะตัน ไม่มีประตู

การเดินทาง หากมาจากโคราชใช้ถนนสาย 24 วิ่งมาถึง สี่แยกปราสาท ต.กังแอน อ.ปราสาท เลี้ยวซ้ายไปทางเมืองสุรินทร์ ถนนสาย 214 มาประมาณ 7.7 กิโล ถึง ต.เชื้อเพลิง จะมีป้ายบอกทางเล็กๆเขียนว่า " บ้านปราสาท " ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป อีกประมาณ 3 กิโล ก็ถึงแล้ว

สภาพถนนช่วงแรก ที่เลี้ยวเข้าบ้านปราสาทเรียบดี
พอใกล้ถึงจะมีขรุขระนิดหน่อย ไม่ไกลมาก
ถึงจุดนี้ก็สบายใจได้

อีก 300 เมตร ก็ถึงจุดหมาย
จบแล้วครับทริปสั้นๆ พอหอมปากหอมคอ 

สุดท้ายผมเก็บภาพทุ่งนา บริเวณใกล้ๆ มาฝากด้วย

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ON THE WAY ตะลุยป่า ผ้าห่มปก Doi Pha Hom Pok ปี62

ต้นปี 62 ได้ไปเที่ยวเหนืออีกครั้ง 15 - 20 มกราคม 2562 ไปหลายที่ ขุนน้ำนางนอน ดอยแม่สลอง ห้วยเมืองงาม ผ้าห่มปก แม่ตะมาน แต่อยากเขียนเรื่องนี้ก่อน " ดอยผ้าห่มปก " ดอยที่ความสูงเป็นอันดับสองของประเทศไทย
Doi Pha Hom Pok , the second highest mountain in Thailand.

พวกเราเดินทางขึ้นดอยน่าจะเย็นของวันที่ 18 มกราคม เส้นทางค่อยข้างลำบากนิดนึง ระยะทางขึ้นไม่ไกล แต่ใช่เวลานานมาก รถเก๋ง หรือ โหลดต่ำ ไม่สามารถขึ้นได้ ควรใช้รถกระบะ หรือ suv ที่มีล้อสูงหน่อย หรือ รถที่มีแก้มยางสูงหน่อย จะดีมาก เส้นทางจะสลับ ถนนซีเมนต์ กับ ถนนดินปนหินที่มีร่องน้ำไหลผ่าน บางช่วงก็เป็นร่องลึกหน่อย ไม่รู้เขาเรียกถนนแบบนี้ว่าอะไร แต่นึกถึงตอนเด็กๆ ที่ต้องเข้าสวนผลไม้ก็เป็นถนนแบบนี้

จุดแรกที่เข้าเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก พวกเราพากันมาแวะที่นี่กันก่อน " น้ำพุร้อนฝาง " แต่ผมไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆนะครับได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ เก็บภาพมานิดหน่อยพอเป็นกะสัย หากสังเกตุดีๆจะเห็นน้ำพุร้อน พุ่งสูงอยู่ด้านหลังไกลๆนู้น


ออกจากน้ำพุร้อน เราย้อนกลับออกมาถนนใหญ่ที่เราผ่าน แล้วอ้อมไปหาทางขึ้นดอยซึ้งจะเป็นทางเข้าอีกเส้นทางนึงคนล่ะเส้นกับน้ำพุร้อนฝาง
ก่อนขึ้นดอยผ้าห่มปก เราจะเจอด่านตรวจกันก่อนและที่ด่านตรวจจะมีอ่างเก็บน้ำห้วยบอนไว้ให้นั่งเล่นผ่อนคลายสวยดีครับ

ออกจากจุดนี้ เราขับรถขึ้นดอยกัน ใช้เวลานานพอสมควร ค่อยๆไป จนมาถึงจุดชมวิวระหว่างทาง เก็บภาพกันก่อน พักผ่อนคลายกันไปในตัว





เดินทางกันต่อครับ จนกระทั่งขึ้นมาถึงลานกางเต้นท์ ดอยผ้าห่มปก จอดรถ ติดต่อเจ้าหน้าที่เช่าเต้นท์ ผ้าห่ม ผ้าปู หมอน มีทุกอย่างสะดวกดี สำหรับกลุ่มใดที่ไม่ได้นำอาหารมาทำกินเอง จะมีร้านค้าของเจ้าหน้าที่ไว้คอยต้อนรับ เรียกว่าพร้อม ห้องน้ำรวม หากใครอยากอาบน้ำอุ่น จะมีห้องน้ำแยกออกไปอีกแห่งใกล้ๆกัน ค่าบริการ 50 บาท

พอดีจุดที่พวกเรากางเต้นท์อยู่ใกล้ศาลาเลยได้อานิสงฆ์จากหลังคา ไว้คอยกันน้ำค้างยามดึก ขนาดช่วง 4-5 โมงเย็น อากาศหนาวเย็นมาก ยิ่งดึกยิ่งหนาว

เหมาเต้นท์นอนทั้งแถบเลยทริปนี้
พวกเรานั่งเล่นนั่งคุยกันที่ศาลา จนถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าเต้นท์ของแต่ล่ะคน เพื่อที่ ตี 3 ครึ่ง จะมีเจ้าหน้าที่หรือไกด์นำทางที่เรานัดไว้มาปลุก เพื่อเดินขึ้นสู่ยอดดอยผ้าห่มปก 
พอถึงเวลานัด ทีมเราที่จะไปนับได้ 11 คน ตอนแรกก็กระชุ่มกระชวยกันดีทุกคน ไฟฉายก็พร้อม ไกด์พานำทางเดินกันไปได้ไม่นาน ไฟฉายก็เริ่มดับที่ล่ะดวง เพราะแบตหมด โชคยังดีที่ยังมีอันสองอันที่ติดอยู่ พากันเดินขึ้นเขาแค่เนินแรก " เนินวัดใจ " มีอันต้องถอนตัวกลับไป 3 เพราะร่างกายไม่พร้อม ที่เหลือ 8 ยังเดินทางต่อ ในป่ามืดมาก ทางแยกเล็กๆก็เยอะ มีหมอกคลุมในป่าตลอดทาง แถมไม่มีป้ายบอกทาง หากใครเดินช้าอาจหลงทางได้ กลุ่มที่เดินนำหน้าต้องจอดรอ ให้กลุุ่มหลังเดินตามมาให้ทัน พวกเราใช้เวลา 3 ช.ม. เห็นจะได้ เดินไปพักไปรอเพื่อนไป ก็สนุกดี แล้วก็มาถึงยอดดอย 

บนยอดดอยหมอกหนาจัด มองไม่เห็นวิว ลมแรง หนาว ทำได้แค่เพียงถ่ายรูปกับป้ายอุทยาน รอจนสายหมอกก็ยังไม่จาง

วันที่พวกเราไป กลุ่มอื่นมีแต่กำลังหนุ่มสาว แข็งแรง กลุ่มเราน่าจะอายุมากที่สุดแล้วมั๊ง 50 ต้นๆกันแล้วนี่
เมื่อไม่เห็นอะไรพวกเราเลยพากันลง แต่ตอนลงนี่แดดก็เริ่มมา เราจึงได้เห็น ผ้าห่มปก ของแท้

เริ่มเดินลงกันแบบจริงจังซะที ขึ้นมาตอนกลางคืนไม่เห็นอะไร ตอนลงนี่แหล่ะคุณจะได้สัมผัส ดอยผ้าห่มปก

จอดพักชมวิวข้างทาง



 อย่างกับอยู่ในเกม หมอกยังจัดอยู่

บางช่วงเดินออกมาที่โล่งหน่อย








 คนมีคู่ก็ประทับใจกันไป



ช่วงที่เดินผ่านป่าผ้าห่มปก




ภาพนี้ชอบมากครับ สังเกตุดีๆ จะมีรูปเพื่อนผมเดินอยู่จางๆ ตรงแสงจ้าๆ สีขาว


 เขียวแบบนี้นี่เอง เขาถึงเรียก ผ้าห่มปก
 ภาพนำเสนอเลยครับ ภาพนี้ ผืนป่าอุดมสมบูรณ์มาก
เป็นรูปนักท่องเที่ยวท่านนึงครับ ที่เดินแซงพวกเราไป เลยจับจังหว่ะนี้ได้ ผมชอบ

 รูปนี้ผมนึกถึง เกม Assassin Creed พอดีเป็นช่วงที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาในป่า และเพื่อนผมที่เดินนำหน้าได้เข้าใกล้จุดๆนั้น เลยได้ภาพออกมาเป็นแบบนี้ 










จบแล้วครับ ทริปเดินป่า ผ้าห่มปก ประทับใจมาก รูปเยอะเกินไปต้องขออภัยด้วยนะครับ 
เก็บภาพรวมกลุ่มก่อนลงจากดอย

ออกจากที่นี่ พวกเราไปต่อกันที่ แม่ตะมาน หากมีเวลาจะนำภาพมาให้ชมกันนะครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการได้เที่ยวเมืองไทยนะครับ